เทศน์เช้า

ธรรมอยู่คู่ใจ

๒๒ พ.ค. ๒๕๔๒

 

ธรรมอยู่คู่ใจ
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์เช้า วันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๔๒
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ไม่มีกิเลสไง พระพุทธเจ้าถึงว่าพอไม่มีกิเลสใช่ไหม มันให้นี่มันเป็นธรรมทั้งหมด แต่ของเขานี่เขาว่ามันมีกิเลส คำว่ามีกิเลสนี่มันมีการเอาเปรียบกัน ฉะนั้นไม่มีศาสดาในศาสนาไหนเลยที่สิ้นกิเลส มีพระพุทธเจ้าองค์เดียวเท่านั้น ชาวพุทธเราถึงมีศาสนาที่สงบ ศาสนาที่มีหลักเกณฑ์ ศาสนาที่ว่าศาสนาจริงๆ ไม่ใช่ลัทธิ เขาถึงได้กลัวตรงนั้น เขาถึงได้พูดนิดหน่อย แต่พูดประสาเรากิริยามันรุนแรง เขาก็เลยหาว่าเราโกรธ เราโมโห เราจะเอาหนังสือคืนเขาไปเฉยๆ อันนั้นจบ

นี่พูดถึงว่าศาสนาที่สิ้นกิเลสเห็นไหม นี่เหมือนกันศาสนธรรมนี่ ที่จะพูดไปนี่ก็สะเทือนใจตรงที่ว่า ตอนนี้นักวิชาการเขียน อ่านหนังสือพิมพ์เจอ บอกว่าน่าสลดใจมาก สมัยนี้นะเราชาวพุทธไม่เชื่อพระไตรปิฎก ไม่เชื่อพระพุทธเจ้า ไปเชื่อเกจิอาจารย์ไง เกจิอาจารย์เห็นไหม นิพพานเป็นนิพพาน นิพพานไม่ใช่อนัตตาไง

ไม่เชื่อเกจิอาจารย์นะ พระพุทธเจ้าสอนว่าในกาลามสูตรไม่ให้เชื่อแม้แต่คำพูดของพระพุทธเจ้านะ ให้พิสูจน์เอา แต่เกจิอาจารย์ที่เราจะเชื่อคือท่านผ่านแล้ว เช่นหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นอาจารย์มหาบัวบอกว่า ไม่เคยได้ยินหลวงปู่มั่นว่าท่านสำเร็จเลย แต่ถ้าใครติดขัดปัญหาไป ทุกปัญหาหลวงปู่มั่นเคลียร์ให้ได้หมดเลย ชี้นำให้ได้หมดไง นี่การติดครูบาอาจารย์ของพระป่า คือการติดครูบาอาจารย์หมายถึง ผู้ชี้นำให้พ้นจากความลังเลสงสัยให้ก้าวเดิน การติดอย่างนี้มันต้องติดสิ แต่ไม่ใช่การติดว่าต้องไปยึดเป็นของเรา อันนั้นกิเลสของเราไปติดเห็นไหม

แต่ในเมื่อเขาบอกว่า สมัยนี้เป็นเกจิอาจารย์ อันนี้เราค้าน ค้านตรงนี้ ค้านตรงที่ว่าถ้าไม่มีครูอาจารย์มาชี้นำนะ การอ่านพระไตรปิฎกน่ะ ๙ ประโยค ๑๐ ประโยคขนาดไหน อ่านมาเห็นไหม ทฤษฎีเป็นทฤษฎี ความคิดเป็นความคิด ข้อเท็จจริงเป็นข้อเท็จจริง แล้วคนที่มีกิเลสอยู่นี่ มันอ่านมานี่ อ่านทฤษฎีนี่มันต้องใช้ความคิด ทฤษฎีนี่ก็พระพุทธเจ้านี่ธรรมะแท้ๆ เลย ทฤษฎีเข้าไม่ถึง ความคิดตัวเองอีกอันหนึ่ง เข้าไม่ถึง แล้วข้อเท็จจริงที่เป็นไปนี่เป็นอย่างไร

อาจารย์มหาบัว อ้างอาจารย์ตลอด คำว่าอ้างอาจารย์มันเหมือนกับเราขายอาจารย์ ไม่ได้ขายนะ อาจารย์มหาบัวท่านบอกท่านไปอยู่กับหลวงปู่มั่น ไปหาหลวงปู่มั่นครั้งแรกเลยนี่ หลวงปู่มั่นบอกเลยว่าธรรมะของพระพุทธเจ้าทฤษฎีนี่เยี่ยม เราต้องกราบนะพระไตรปิฎกนี่ เพียงแต่ว่าถ้าการปฏิบัติอยู่นี่ ก่อนที่มันจะเป็นประโยชน์นี่มันจะเป็นการลังเลสงสัยก่อน มันจะชักไปอนาคตไง เราจะคาดเราจะหมาย เราถือทฤษฎีนี้เป็นทฤษฎีที่ถูกต้อง แต่เราก็ทำให้ผิด เรายังต้องคาดต้องหมายไปถึงเป็นจินตนาการทั้งหมด เป็นจินตมยปัญญาเห็นไหม

นี่มันถึงว่าต้องติดอาจารย์ แต่ติดในการชี้แนะของท่าน ไม่ใช่ติดในตัวท่าน พระพุทธเจ้า พระอริยสาวกทั้งหลายก็นิพพานไปหมดแล้ว ร่างกายนี่ “อานนท์ เราบอกเธอแล้วไม่ใช่หรือ สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นต้องดับไปเป็นธรรมดา แม้แต่ร่างตถาคตก็ต้องสิ้นไป” เห็นไหม เรายึดตรงนั้นไม่ได้เลย ยึดตัวบุคคลไม่ได้เลย ต้องยึดธรรม ธรรมที่เข้าถึงใจนี่

เป็นชาวพุทธนี่ไม่ใช่เป็นชาวพุทธจริง ถ้าเป็นชาวพุทธจริงเราอยู่บ้านจะมีความสุขมากเลย สุขตรงไหน? สุขที่หัวใจไม่ว้าเหว่ไง ชาวพุทธไม่จริงน่ะหัวใจว้าเหว่ หัวใจว้าเหว่เพราะใจไม่มีธรรม ใจมีธรรมเป็นเพื่อน ใจมีอารมณ์เป็นเพื่อน มีความคิดเป็นเพื่อน ความคิดนั้นบีบบี้สีไฟเราให้เราเป็นความทุกข์ ธรรมเป็นเพื่อนไง พุทโธ นึกถึงพระพุทธเจ้าอยู่ที่ใจ เห็นไหม ธรรมอยู่ที่ใจ ใจนี้เป็นเครื่องที่สัมผัสธรรม ใจเป็นภาชนะที่จะใส่ธรรมได้ กระดาษเป็นแค่ตัวอักษร จะพิมพ์ขนาดไหนก็เป็นกระดาษ แต่ถ้าหัวใจเข้าไปสัมผัสธรรม หัวใจนี้เป็นเหมือนภาชนะ เป็นโอ่ง เป็นภาชนะที่ใส่น้ำเต็มๆ ไง น้ำธรรม น้ำอมฤตธรรมไง

นี่ถึงว่าถ้าเข้าไม่ถึงเป็นทฤษฎีนะ ความวิเวกน่ะ วิเวกอยู่ในป่า พระไปอยู่ในป่าก็ไปทุกข์อยู่ในป่าเห็นไหม ความวิเวกมันเป็นความจริง เพราะมันเป็นของจริงอยู่ แต่เราจะเข้าไปด้วยความมีกิเลสนี่ เข้าไปแล้วมันลังเลสงสัยเห็นไหม ธรรมเป็นความว่าง ความว่างไม่มีตัวตน ความว่างเป็นความสุขเห็นไหม ความว่างนั้นเป็นความสุข แต่เราไปอยู่ในความว่าง เราเครียดจนคนๆ นั้นเสียสติก็มีนะ จนเสียสติเลย เป็นคนบ้า เป็นคนมีปัญหาไปเลย เพราะว่ามันอยู่ในที่ตัวเอง ความคิดมากไง กลัวผี กลัวทุกอย่างเห็นไหม นี่วิเวก ถึงต้องมีทาน มีศีล แล้วก็มีธรรมะของพระพุทธเจ้าสอน วิเวกเห็นไหม ถ้าเธอกลัวให้คิดถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

ถ้ามีธรรมเป็นเพื่อน ธรรมถึงเข้ากับใจได้ไง ใจที่มีธรรมเห็นไหม พระพุทธเจ้าถึงว่า พระพุทธเจ้ากราบธรรมตัวนี้ไง ธรรมตัวที่ว่าจะเข้าไปสถิตอยู่ในใจของเราที่ทำให้ใจของเราไม่มีความทุกข์ไง คิดดูสิเราทุกข์ขนาดไหน เราเครียดขนาดไหน เราว้าเหว่ขนาดไหน เอาแค่ว้าเหว่อย่างเดียวนะ เอาแค่อาลัยอาวรณ์นี่ แล้วตัวนี้เราพลิกกลับมาเป็นประโยชน์หมดเลย สิ่งนี้คือความจริงไง คือว่ามันไม่ใช่ยอมรับแบบคนโง่นะ มันยอมรับแบบผู้มีปัญญาว่านี่คือความจริง ความจริงก็ความจริงธรรมดานะ ความจริงนั้นจะให้มันสถิตอยู่เป็นความจริงนี้ตลอดไปได้ไหม

เวลาเราว่างหรือเราพอใจนี่มันอยู่เดี๋ยวเดียว เดี๋ยวมันก็แปรสภาพแล้ว นี่ธรรมจริงๆ คือว่ามันปล่อยวางทั้งหมด เพราะสิ่งใดกระทบมันไม่ได้ มันไม่มีภวาสวะ มันไม่มีพื้นฐาน มันไม่มีสิ่งที่รองรับไง ภพไง ภพของใจไง อารมณ์ที่มันยึดมั่นถือมั่นไง อารมณ์เป็นนามธรรมมาเห็นไหม ฝุ่นมันไปในอากาศมันอยู่ได้อย่างไร มันก็ตกไปที่พื้น ไปเกาะบนใบไม้ นี่ภวาสวะภพของใจ ความเป็นภพ ความเป็นที่ว่าจะให้สิ่งนั้นตกอยู่ที่รองรับไม่มี พอมันไม่มีนี่อะไรจะไปติดมัน พออะไรไปติดมันไม่ได้ มันก็เป็นความว่างจริงๆ มันเป็นนิพพานแท้ไง นี่ธรรมที่อยู่ที่ใจไง

เราถึงว่าเราต้องเคารพธรรม แล้วเราเอาธรรมเข้ามาในใจ แล้วเราจะเป็นชาวพุทธจริงที่ไม่ว้าเหว่อย่างนี้ไง เห็นโทษของความว้าเหว่สิ เห็นโทษของความคิดสิ แล้วทำอย่างไร ถึงบอกว่ามันลึกแสนลึก มันกว้างแสนกว้าง พระพุทธเจ้าหาอยู่ ๖ ปีเห็นไหม ไปหาอาฬารดาบส ไปเรียนสมาบัติ นั้นก็เป็นความว่าง ความว่างอย่างนั้นเป็นความว่างบนภพไง ความว่างนี้มันตั้งอยู่บนหัวใจไง อากาศนี่เห็นไหม อวกาศ อากาศนี่เห็นไหม โลกหมุนอยู่ในอวกาศ มันกว้างกว่าโลกอีก อวกาศ สุริยจักรวาลนี่โลกใบเดียว ในจักรวาลมีดาวกี่ดวงหมุนอยู่ในอวกาศนี่

นี่ก็เหมือนกัน เราทำสมาธิเห็นไหม มันเป็นความว่าง แต่ไอ้ภพ ไอ้ภวาสวะ ไอ้ที่อยู่ในความว่างอันนั้นไม่ได้กำจัดเลยเห็นไหม มันถึงเป็นลัทธิไง มันถึงไม่ใช่เป็นศาสนาไง ศาสนาพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นนั้น เกิดอริยสัจใช่ไหม เกิดธรรมจักรเห็นไหม พระพุทธเจ้ารู้ถึงอวิชชา รู้ถึงเหตุ ฟังนะ เหตุทำให้เกิด เหตุทำให้ดับ อวิชชาปัจจยา สังขารา คือความรู้ที่ไม่จริง ที่เรารู้ๆ กันอยู่นี่ไม่จริงหมดเลย แต่เราไม่กล้าปฏิเสธความรู้ของเรา ความรู้ที่เป็นอยู่ปกติที่เรารู้กันอยู่นี่ผิดหมด เพราะมันเป็นอวิชชา รู้ส่งออก รู้ทุกอย่างเรื่องข้างนอก แต่ไม่รู้เรื่องของตัว รู้ทุกอย่างตามทฤษฎีรู้หมด โลกนี้เจริญมาก เทคโนโลยีเจริญมาก รู้ถึงจักรวาล รู้ถึงพระอาทิตย์ รู้ไปหมดเลย แต่ไม่รู้จักตัวเอง ไม่รู้จักแก้ตัวเอง ไม่รู้จักทำอยู่ที่ตรงไหนไง สวรรค์ไม่ได้อยู่บนอวกาศ สวรรค์มีอยู่ทุกที่เลย

เขาว่าสวรรค์อยู่ที่ใจ แต่สวรรค์นั้นอยู่ที่สวรรค์ ใจต่างหากเป็นผู้ไปถึงสวรรค์ แต่สวรรค์อยู่ที่ใจเพราะว่าต้องมีใจกับสวรรค์เข้ากันได้ก่อน สุคโตไง ถ้าใจนี้ทำความดีมันไปเกิดบนสวรรค์เห็นไหม ถึงว่าปัจจุบันนี้สวรรค์อยู่ที่ใจ แต่ตายไปแล้วก็ไปสวรรค์จริงๆ เพราะวัฏฏะ ห่วงโซ่ของอาหาร เห็นไหม ห่วงโซ่ของวัฏฏะ จิตนี้เกิดดับๆ จิตนี้ไม่เคยตายๆ แล้วหักห่วงโซ่นั้นออกไป ตัดวงจรของอาหาร ตัดวงจรของวัฏฏะ นี่มันเป็นอย่างนั้น มันตัดวงจรของวัฏฏะได้ ใจอันนี้ถึงว่าของแท้ไง พอของแท้ถึงย้อนกลับมาดูตรงนี้ เห็นตรงนี้ไง เห็นห่วงโซ่ของการเกิด เห็นห่วงโซ่ของวัฏฏะ มันถึงได้เป็นทุกข์ไปเพราะมันมีเชื้อตัวชักนำไป นี่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ตรงนี้ไง ถึงรู้ตน รู้ตัวเอง เข้าใจตัวเอง เข้าใจธรรม แล้วเข้าใจห่วงโซ่ทั้งหมด เข้าใจวัฏฏะทั้งหมด เข้าใจถึงสามโลกธาตุ ความเข้าใจ ความรู้เท่า ไม่สงสัย ความไม่สงสัยก็ปล่อยไว้ตามความเป็นจริง การปล่อยไว้ตามความเป็นจริงก็รู้ว่าตัวเองพ้นจากตามความเป็นจริงไง

นี่ถ้าปัญญามันเกิดเห็นไหม พระพุทธเจ้าถึงว่ามัคคะอริยสัจจัง พระพุทธเจ้าตรัสรู้ตรงนี้ไง ถึงได้วางมัคคะ ทางอันเอกไง มันเอกตรงนี้ เอกตรงที่รู้จักตัวตน รู้จักเรานี่รู้จักทั่วจักรวาลเลย รู้จักเรารู้จักหมดเลย แต่นี่เราไม่รู้จักเราเลย รู้จักแต่ข้างนอกไง นี่การศึกษาเห็นไหม ที่ว่าศึกษาออกๆ การศึกษานี่ศึกษาออกไป ถึงว่าทฤษฎี ศึกษาความคิดอันหนึ่ง ทฤษฎีอันหนึ่ง ข้อเท็จจริงตามความเป็นจริงอันหนึ่ง ข้อเท็จจริงอันนี้สำคัญที่สุด ถึงว่าเป็นประสบการณ์ตรงของผู้ปฏิบัติไง ผู้ที่ปฏิบัติจะชักเข้ามาถึงตรงที่ธรรมแท้นี่ไง นี่คือธรรมแท้ นี่คือธรรมที่อยู่ที่ใจ ธรรมอันนี้จะสถิตที่ใจ แล้วถ้าใจของชาวพุทธมีธรรมอันนี้ถึงจะเห็นคุณค่าของศาสนามาก เห็นคุณค่ามากๆ เลย เห็นคุณค่าของศาสนาที่อยู่ที่ใจของมนุษย์ อยู่ที่ใจของผู้ปฏิบัติ ไม่ได้อยู่ที่วัตถุก่อสร้าง ไม่ได้อยู่ที่ความเจริญของโลก ไม่ได้อยู่ที่เทคโนโลยีที่ว่ามันเจริญมหาศาล ยิ่งเจริญขนาดไหนก็ชักให้คนทุกข์มากขนาดนั้น ยิ่งรู้มากเท่าไหร่นะมันยิ่งเข้ามาสะสม รู้เรื่องของคนอื่น รู้เรื่องที่ไม่จำเป็น แล้วเอามาเผาใจ

แต่ถ้าเป็นการประกอบอาชีพ เห็นด้วย ความรู้อย่างนั้นรู้เพื่อทันเขา ใครกำข้อมูลข่าวสารผู้นั้นเป็นผู้ที่เข้าถึงผลประโยชน์ก่อน อันนั้นเป็นผลประโยชน์ ผลประโยชน์อันนี้มันเป็นแค่เครื่องดำรงชีวิตไง ปัจจัย ๔ เครื่องอยู่อาศัย เราเอาเครื่องที่เป็นเครื่องอยู่อาศัยมาเป็นแก่นแท้ของชีวิต แล้วก็ลืมแก่นแท้ของชีวิตในหัวใจ ที่ว่าเป็นเรานี่มองข้ามกันไป มองข้ามกันหมดเลย นี่พระพุทธเจ้าถึงย้อนกลับมา ตรงนี้ต่างหากถึงว่า เป็นอะ เป็นวิชา

อวิชชาคือส่งออกนั่นแหละ ที่ว่าเป็นเครื่องอยู่อาศัย ที่ว่าเป็นประโยชน์น่ะ นั่นอวิชชาทั้งหมด เพราะส่งออกแล้วลืมตน พอลืมตนก็ห่วงโซ่อาหารเกิดขึ้นที่เรานะ แล้วห่วงโซ่อาหารนี้ก็ผลักไสให้เราไปในวัฏวนนั้น วัฏวนนี้ถึงทำให้เราทุกข์ยากอยู่นี่ไง เพราะวัฏวนจิตมันไม่เคยตาย พอจิตไม่เคยตาย พอมันสิ้น มันหมดจากเชื้อ มันเป็นวิชาขึ้นมามันถึงเป็นนิพพานเที่ยง นิพพานมีไง แต่ไม่ใช่มีอัตตาและอนัตตา มีนิพพานแบบนิพพาน นี่คือธรรมจริงๆ ธรรมเป็นธรรม ธรรมที่อยู่ที่ใจไง ใจกับธรรมอยู่ด้วยกัน นี่เป็นธรรมแท้ๆ ธรรมแท้ๆ นะ

ไปเห็นมา ไปดูมา ไปดูมาแล้วเราก็จะให้เป็นแบบนั้น นี่ธรรมแท้ๆ สงบอย่างนี้ วิเวกอย่างนี้ ธรรมแท้ๆ อยู่ที่ป่าช้า อยู่ที่ๆ ความวิเวก อยู่ที่ๆ ควรแก่การงาน อยู่ที่กลางหัวอกไง อยู่ที่กลางหัวอก แหวกหัวอกมาตรงนั้นมีอะไร ไม่มีอะไรเลย แต่มันอยู่ตรงนั้นแล้วมันสงบอยู่ที่นั่น มันพอใจอยู่ที่นั่น แล้วมันรู้ทุกสิ่งทั้งหมด สิ่งใดๆ มีเพราะมีเรา เราเข้าใจทั้งหมด เราปล่อยวางทั้งหมด ใจเป็นอย่างนี้ถึงจะเป็นชาวพุทธ นี่ชาวพุทธต้องเป็นอย่างนั้น

ถึงอยากให้มี อยากให้เป็น หนึ่งอยากให้มีอยากให้เป็นแล้วย้อนกลับมาที่นี่ สิ่งใดๆ ทั้งหมดนั้นเป็นเครื่องอยู่อาศัยนะ ปัจจัยเครื่องอยู่อาศัยทั้งหมด แต่เป็นเครื่องดำเนินเข้าไป อย่างเช่นทานนี่ อย่างเช่นเรื่องศีล ห่วงโซ่อาหารเกิดที่ใจนะ ใจนี้สร้างศีลสร้างทานขึ้นมาก็ให้ห่วงโซ่นั้นแคบเข้ามาไง ห่วงโซ่แคบเข้ามานะ ห่วงโซ่นี้อย่าให้มันกว้างเกินไป ดูสิ มันหมุนไปในเชื้อโรคนี่ ในจักรวาลก็มีเชื้อโรคนะ เชื้อโรคนี้หมุนไปหมดเลย แล้วมันทำให้หัวใจนี่ทุกข์เห็นไหม แล้วเชื้อโรคนั้นแคบเข้ามาอยู่เฉพาะในโลกของเรา เราควบคุมเขตการแผ่เชื้อของโรคได้ นี่ทาน ศีล ภาวนา รู้จักอภัย รู้จักให้ รู้จักทั้งหมด นี่ทานเกิดจากตรงนั้น ทานแล้วมีศีล ศีลคือเข้ามาอีกแล้ว เราไม่คิดผิด เราไม่ทำผิด นี่ศาสนานี่เครื่องดำเนินอันเอกอยู่ที่นี่ มันเป็นศาสนธรรม มันไม่ใช่เป็นวัตถุ มันไม่ใช่ว่าเป็นที่คนมากคนน้อย มันไม่ใช่ว่าคนมาเยินยอปอปั้น มันไม่ใช่ มันไม่ใช่ทั้งหมด แล้วเราไป (เทปสิ้นสุดเพียงเท่านี้)